top of page

Data Driven Decision Making คือ? นำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างไร

Writer's picture: Manassanan CheewakriengkraiManassanan Cheewakriengkrai


data driven decision making


การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เป็นสิ่งที่หากคุณเป็นผู้ประกอบการต้องเจอตลอดเวลา และการตัดสินใจว่าเราจะใช้กลยุทธ์ใด ในการดำเนินธุรกิจเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องเจอ เพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน แต่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ให้ประสบความสำเร็จได้นั้น เราอาจจะใช้ประสบการณ์ของผู้บริการ แต่ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง กระบวนการนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์นี้ เรียกว่า “Data-Driven Decision Making” หรือ DDDM ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในแวดวงธุรกิจ เนื่องจากช่วยลดความเสี่ยงจากการคาดเดา ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และทำให้ทราบได้ว่าควรจะปรับปรุงหรือลงทุนในส่วนใดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลกำไร เนื้อหาในบทความนี้ เราจึงเขียนข้อมูลเกี่ยวกับ Data Driven Decision Making ว่ามันคืออะไร อย่างไร ไปดูกันเลย



ทำความเข้าใจ Data Driven Decision Making คืออะไร?



what is data driven decision making


Data Driven Decision Making (DDDM) คือการตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลเป็นฐาน เปรียบเสมือนเข็มทิศที่ช่วยนำทางองค์กรไปสู่เป้าหมาย โดยกระบวนการนี้เริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างเป็นระบบ จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อค้นหาแพทเทิร์น แนวโน้ม และความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ในข้อมูล ขั้นต่อมาคือการแปลงข้อมูลให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ซึ่งผู้บริหารสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการตัดสินใจในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนกลยุทธ์ การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ หรือการพัฒนาบริการให้ตรงใจลูกค้า นอกจากนี้ DDDM ยังช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาด เพราะทุกการตัดสินใจล้วนผ่านการพิสูจน์ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ ไม่ใช่แค่การคาดเดาหรืออาศัยประสบการณ์เพียงอย่างเดียว ทำให้องค์กรสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว



ประโยชน์ของการใช้ Data Driven Decision Making



benefits of data driven decision making


แนวคิด Data Driven Decision Making ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรก้าวทันโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายอย่างมั่นคง มาดูกันว่าประโยชน์ของการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลมีอะไรบ้าง


เพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ


  • การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดช่วยให้ผู้บริหารและทีมงานสามารถตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น เมื่อมีข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง การประเมินสถานการณ์และทางเลือกต่างๆ จะทำได้ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลประชากรในพื้นที่ พฤติกรรมผู้บริโภค และข้อมูลคู่แข่ง จะทำให้เห็นภาพรวมและโอกาสทางธุรกิจได้ชัดเจน


เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน


  • องค์กรที่นำข้อมูลมาวิเคราะห์และประยุกต์ใช้อย่างเป็นระบบ มักพบว่าสามารถบริหารทรัพยากรได้คุ้มค่ากว่าเดิม ข้อมูลช่วยระบุจุดที่ต้องปรับปรุง และโอกาสในการพัฒนากระบวนการทำงาน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลการผลิตอาจชี้ให้เห็นว่าควรปรับตารางการผลิตอย่างไรเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต



เข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น


  • ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนความต้องการที่แท้จริง การวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อ การร้องเรียน และความคิดเห็นของลูกค้า ช่วยให้องค์กรเข้าใจปัญหาและความต้องการของลูกค้าได้ลึกซึ้งขึ้น นำไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ตรงจุด


ลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ


  • การตัดสินใจที่อาศัยข้อมูลช่วยลดความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ เมื่อมีข้อมูลสนับสนุน ผู้บริหารสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์และผลกระทบได้แม่นยำขึ้น ลดโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดจากการตัดสินใจแบบคาดเดาหรือใช้ความรู้สึกส่วนตัว


ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร


  • องค์กรที่นำข้อมูลมาขับเคลื่อนการตัดสินใจ มักพบว่าทีมงานทำงานได้อย่างมีทิศทางและเป้าหมายชัดเจน ข้อมูลช่วยให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกัน และเข้าใจเหตุผลของการตัดสินใจต่างๆ ส่งผลให้การประสานงานและการทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น


ช่วยในการคาดการณ์แนวโน้มและโอกาสทางธุรกิจ


  • การวิเคราะห์ข้อมูลแนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้องค์กรมองเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ก่อนคู่แข่ง และสามารถปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที องค์กรที่รู้จักนำข้อมูลมาวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคต จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน



สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมก่อนทำ Data Driven Decision Making 



things to prepare


การตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูล (Data Driven Decision Making) กลายเป็นหัวใจของการบริหารธุรกิจยุคใหม่ไปแล้ว แต่หลายองค์กรยังไม่สามารถนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ เพราะขาดการเตรียมความพร้อมที่ดีพอ ผมขอแนะนำ 3 องค์ประกอบหลักที่จะช่วยให้องค์กรของคุณพร้อมก้าวสู่การตัดสินใจที่อิงข้อมูลได้อย่างแท้จริง



  • การเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีคุณภาพ : องค์ประกอบแรกคือการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีคุณภาพ ซึ่งถือเป็นรากฐานของทุกการวิเคราะห์ ข้อมูลที่ดีต้องมีความถูกต้อง ครบถ้วน และทันสมัย การจัดระเบียบข้อมูลอย่างเป็นระบบจะช่วยให้เราสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ได้รวดเร็วและแม่นยำ ทั้งนี้ควรมีการตรวจสอบคุณภาพข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ และปรับปรุงกระบวนการจัดเก็บให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร


  • วิธีการ Framework ในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ : Framework ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นองค์ประกอบที่สอง ที่จะช่วยให้เราสามารถแปลงข้อมูลดิบให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง Framework ที่ดีควรครอบคลุมตั้งแต่การตั้งคำถามทางธุรกิจ การทำความสะอาดข้อมูล การวิเคราะห์เชิงสถิติ ไปจนถึงการนำเสนอผลลัพธ์ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย โดยทุกขั้นตอนต้องสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กร


  • เครื่องมือและเทคโนโลยีที่จำเป็น : องค์ประกอบสุดท้ายคือเครื่องมือและเทคโนโลยี ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจที่จะไขไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เครื่องมือพื้นฐานอย่าง Excel อาจเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดเล็ก แต่สำหรับข้อมูลขนาดใหญ่ เราอาจต้องพิจารณาเครื่องมือที่ทรงพลังมากขึ้น เช่น R, Python หรือแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Enterprise ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดข้อมูล ความซับซ้อนของการวิเคราะห์ และความพร้อมของบุคลากรในองค์กร



4 ขั้นตอนการนำ Data Driven Decision Making มาใช้



4 steps


การตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเป็นฐาน (Data Driven Decision Making) เปรียบเสมือนเข็มทิศที่ช่วยนำทางองค์กรไปสู่เป้าหมาย โดยอาศัยข้อมูลที่เชื่อถือได้แทนการคาดเดาหรือใช้ประสบการณ์เพียงอย่างเดียว กระบวนการนี้ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง พร้อมรับมือกับความท้าทายในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว


1. การระบุคำถามหรือปัญหาทางธุรกิจ 

  • ขั้นตอนแรก การระบุคำถามหรือปัญหาทางธุรกิจ เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ชัดเจนและตรงประเด็น เช่น “ทำไมยอดขายในไตรมาสที่ผ่านมาถึงลดลง?” หรือ “กลุ่มลูกค้าใดที่มีแนวโน้มซื้อซ้ำมากที่สุด?” การตั้งคำถามที่ดีจะช่วยกำหนดทิศทางในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ได้ตรงจุด ทำให้ทีมงานเข้าใจเป้าหมายร่วมกันและมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน


2. การเก็บและเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ขั้นตอนที่สอง การเก็บและเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เป็นการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร อาจรวมถึงข้อมูลยอดขาย พฤติกรรมลูกค้า ผลสำรวจความพึงพอใจ หรือข้อมูลการแข่งขันในตลาด ข้อมูลที่ได้มาต้องผ่านการทำความสะอาด ตรวจสอบความถูกต้อง และจัดระเบียบให้พร้อมสำหรับการวิเคราะห์ในขั้นตอนถัดไป


3. การวิเคราะห์และตีความข้อมูล

  • ขั้นตอนที่สาม การวิเคราะห์และตีความข้อมูล เป็นการนำข้อมูลมาประมวลผลด้วยเครื่องมือและเทคนิคทางสถิติต่างๆ เพื่อค้นหาความสัมพันธ์ แนวโน้ม หรือรูปแบบที่ซ่อนอยู่ในข้อมูล การวิเคราะห์อาจทำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การวิเคราะห์เชิงพรรณนาไปจนถึงการใช้โมเดลการพยากรณ์ขั้นสูง ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำมาตีความให้เข้าใจง่ายและสื่อสารกับทีมได้อย่างชัดเจน


4. การนำผลวิเคราะห์ไปใช้ตัดสินใจ

  • ขั้นตอนสุดท้าย การนำผลวิเคราะห์ไปใช้ตัดสินใจ เป็นการแปลงข้อค้นพบจากการวิเคราะห์ไปสู่การปฏิบัติ โดยพิจารณาทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น องค์กรอาจตัดสินใจปรับกลยุทธ์การตลาด เปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ หรือปรับปรุงการให้บริการตามข้อมูลที่ได้ หลังจากนำไปปฏิบัติแล้ว ควรติดตามผลและเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินว่าการตัดสินใจนั้นให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังหรือไม่



Case Study ความผิดพลาดของ Kodak ที่ไม่ใช้ Data Driven Decision Making 



Kodak case study


เรารู้จัก Kodak กันดีว่าเป็นแบรนด์กล้องฟิล์ม และฟิล์มถ่ายรูปอันดับหนึ่งในยุคนั้น Kodak เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ล้มเหลวในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่รู้ เพราะในปี 1975 Kodak เป็นผู้คิดค้นกล้องดิจิทัลตัวแรก แต่ไม่ได้นำข้อมูลนี้มาวิเคราะห์มาเป็นข้อมูลในการปรับกลยุทธ์ อีกทั้งการศึกษาภายในบริษัทในช่วงปี 1980 ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามาแทนที่ฟิล์มภายใน 10 ปี แต่ผู้บริหารเลือกที่จะไม่ดำเนินการใดๆ แม้จะเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีกล้องดิจิทัลตั้งแต่ปี 1975 แต่แทนที่จะใช้ข้อมูลเพื่อปรับตัว Kodak กลับเลือกที่จะยึดติดกับธุรกิจฟิล์มที่ทำกำไรสูง โดยไม่ลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างจริงจัง จากการที่บริษัทเลือกที่ยึดติดกับธุรกิจฟิล์มถ่ายรูปแบบดั้งเดิม จนนำไปสู่การยื่นล้มละลายในปี 2012


การตัดสินใจที่ผิดพลาดของ Kodak


1. การละเลยข้อมูลแนวโน้มตลาด

   - ในช่วงปี 1990-2000 มีสัญญาณชัดเจนว่าตลาดกล้องดิจิทัลกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

   - ยอดขายฟิล์มถ่ายรูปเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง

   - Kodak เลือกที่จะมองข้ามข้อมูลเหล่านี้และยังคงทุ่มงบประมาณส่วนใหญ่ไปกับธุรกิจฟิล์ม


2. การไม่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค

   - ผู้บริโภครุ่นใหม่เริ่มหันมาใช้กล้องดิจิทัลมากขึ้น

   - มีความต้องการความสะดวกในการดูและแชร์ภาพถ่ายทันที

   - Kodak ยังคงเน้นการตลาดที่มุ่งเน้นคุณภาพของฟิล์มถ่ายรูป


แนวทางการใช้ Data Driven Decision Making ที่ควรทำ


1. การวิเคราะห์แนวโน้มตลาด

   - ติดตามอัตราการเติบโตของตลาดกล้องดิจิทัลอย่างใกล้ชิด

   - วิเคราะห์ส่วนแบ่งตลาดของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท

   - พยากรณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดในอนาคต


2. การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค

   - สำรวจความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มอายุ

   - ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ

   - วิเคราะห์ความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์


3. การวิเคราะห์คู่แข่ง

   - ติดตามกลยุทธ์และการลงทุนของคู่แข่งในเทคโนโลยีดิจิทัล

   - วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง

   - ประเมินโอกาสและภัยคุกคามในตลาด



บทสรุป

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำไม่ใช่เพียงความได้เปรียบ แต่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอด บทเรียนจาก Kodak สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดมายาวนาน การละเลยสัญญาณจากข้อมูลก็สามารถนำไปสู่จุดจบได้ Data Driven Decision Making จึงไม่ใช่แค่เทรนด์การบริหารที่กำลังมาแรง แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรของคุณเห็นโอกาสและภัยคุกคามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การนำข้อมูลมาใช้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องละทิ้งประสบการณ์และสัญชาตญาณทางธุรกิจ แต่เราควรผสมผสานทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกัน ใช้ข้อมูลเป็นเข็มทิศนำทาง และใช้ประสบการณ์เป็นเครื่องกลั่นกรองการตัดสินใจ เพราะในท้ายที่สุด ความสำเร็จขององค์กรไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีข้อมูลมากแค่ไหน แต่อยู่ที่คุณสามารถแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดได้มากน้อยเพียงใด


10 views0 comments

Comments


bottom of page